สนาม: สถานีโทรทัศน์เฮยหลงเจียง
บทนำ: ประธานบอร์ด อภลั่น กัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ ยังเป็นยาเสพติดอยู่ ยันสารสกัดไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ไม่อนุญาตให้เสพเสรีหรือเพื่อความบันเทิง ขณะนี่ สนชเตรียมเรียกอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาแจงก่อนแก้กฎหมาย หวั่นเสียท่าต่างชาติ ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข วันพุธที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย) จัดโครงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ โดยในช่วงอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผ่อนปรนกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ นพโสภณ เมฆธน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม (อภ) กล่าวว่า กรอบการหารือและระดมความคิดเห็นนี้ เน้นเรื่องประโยชน์ทางการแพทย์ และการคลายล็อกกัญชา ขอย้ำว่ากัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ แต่จะนำสารสำคัญในกัญชา ทั้ง THC และ CBD มาใช้ประโยชน์ และยังไม่ได้มีการอนุญาตให้ใช้เพื่อสันทนาการ ประชาชน หรือคนทั่วไป ยังไม่สามารถปลูกได้ กัญชายังคงเป็นยาเสพติดอยู่ ทั้งนี้ ในการปลดล็อกต้องทำเป็นขั้นตอนแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทาง ครมได้เห็นชอบในหลักการให้นำกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดประเภท 5 มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่วนเรื่องของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ 11 บริษัท จดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชานั้น ได้ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและศึกษาข้อกฎหมายอยู่ เพราะสารสกัดจากพืชไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ โดยเมื่อวันที่ 15 เคยสอบถามอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ระบุเองว่าไม่สามารถจดได้ ใจจริงไม่ได้อยากฟ้องหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมียื่นฟ้องกรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่ นพโสภณตอบว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและศึกษาข้อกฎหมายอยู่ เคยสอบถามอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ระบุเองว่าไม่สามารถจดได้ ใจจริงไม่ได้อยากฟ้องหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน คิดว่าคงไม่ฟ้อง คงมีการนัดคุยกัน แต่ยังไม่มีการระบุวัน ด้าน นพธเรศ กรัษนัยรววิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พย ครมได้รับหลักการร่าง พรบยาเสพติดของ สนช แนวทางการปลดล็อกกัญชาก็จะนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งกัญชายังคงอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5 เหมือนเดิม แต่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ผู้ดำเนินการต้องเป็นหน่วยงานรัฐ และมีกำหนดระยะเวลาในการใช้ 5 ปี แต่ต้องมีกฎหมายลูกรองรับ ซึ่งจะเร่งดำเนินการต่อไป นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ปปส กล่าวว่า การควบคุมกัญชาใช้ในทางการแพทย์ ตามกรอบวางไว้ ว่า ผู้ดำเนินการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ครอบคลุมตั้งแต่การปลูก สายพันธุ์ พื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้ได้กัญชาคุณภาพ นำสารสำคัญมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และผู้ขออนุญาตปลูก ต้องเป็นนิติบุคคล หน่วยงานของรัฐ มีโรงเรือนปิด ปลอดภัย และมีการกำหนดปริมาณในการปลูก เพื่อให้พอกับความต้องการ แต่บุคคลทั่วไปไม่สามารถปลูกได้ เพราะกัญชายังถือเป็นยาเสพติด การขออนุมัติปลูกยังต้องผ่านคณะกรรมการยาเสพติดด้วย ซึ่งขณะนี้ผู้ขออนุญาตและใช้ประโยชน์จากกัญชา ของกลางยาเสพติด คือมหาวิทยาลัยรังสิต และองค์การเภสัชกรรม ดรภกอนันต์ชัย อัศวเมฆิณ อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดของ ปปส และร่าง พรบยาเสพติดฉบับ สนช มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือลดความผิดของผู้เสพ ให้เป็นผู้ป่วย แต่จะต้องควบคุมแค่ไหน ต้องดูกรอบกฎหมาย ส่วนในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่มาจากสารสกัด ต้องดูเรื่องการรับรองกำกับว่าจะทำอย่างไร เป็นแบบแพทย์แผนไทยหรือแผนปัจจุบัน การวิจัย ตำรับยาที่ไม่ได้วิจัย แต่ใช้เป็นทางเลือก ทุกอย่างต้องใช้ให้สมดุลและปลอดภัย ขณะที่นายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ปปส กล่าวว่า แนวคิดผ่อนปรนเรื่องกัญชาออกจากยาเสพติดของไทยมีมาตั้งแต่ปี 2557 แต่ในปี 2559 อันก๊าส (Ungass) กำหนดให้ประเภทภาคีสมาชิกกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดด้านยาเสพติดที่เหมาะสม ซึ่งไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก ที่ผ่านมาบางคนมีการครอบครองเพื่อเสพ แต่เมื่อนำเข้ามาที่สนามบินกลับโดนโทษถึงประหารชีวิต เรื่องนี้ต้องผ่อนปรนอย่างเหมาะสม โดยประมวลกฎหมายยาเสพติด ได้รวบรวมกฎหมายยาเสพติด 17 ฉบับ 184 มาตรา มาพิจารณาให้เหมาะสม เขากล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในชั้นกรรมาธิการ คาดว่าในเดือน ธคจะผ่านการพิจารณาวาระ 1 ซึ่งจะให้อำนาจ รมวสาธารณสุข ในการผ่อนปรนยาเสพติดเพื่อใช้ในการศึกษาหรืออุตสาหกรรมได้ หลักของประมวลกฎหมายยาเสพติด ไม่อนุญาตให้เสพเสรีหรือเพื่อความบันเทิง ครอบคลุมเรื่องของการเพาะปลูกหรือการทดลองเพาะปลูก และการครอบครองต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสม อนาคตจะครอบคลุมกระท่อมให้เสพแบบวิถีพื้นบ้านแบบไม่มีความผิด นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ต้องเลื่อนการพิจารณาร่าง พรบยาเสพติดให้โทษ เนื่องจากวิป สนชได้ทราบถึงข้อห่วงใยในกรณีที่มีบริษัทต่างชาติดำเนินการมาขอจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับการนำกัญชาไปในทางการแพทย์ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้ที่ประชุมวิป สนชมีความเห็นว่าจำเป็นต้องเชิญอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญามาชี้แจงต่อวิป สนชในวันที่ 20 พย ก่อนที่ สนชจะบรรจุร่าง พรบดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม สนชต่อไป เลขานุการวิป สนชกล่าวว่า เท่าที่ สนชส่วนใหญ่ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่า ปัจจุบันกัญชายังเป็นยาเสพติดต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่สามารถเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่จะได้รับการคุ้มครองทางสิทธิบัตรตามกฎหมายได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 9 (5) ของ พรบสิทธิบัตร พศ2522 ที่กำหนดว่าการประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน จะไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พรบ ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องไม่รับการจดสิทธิบัตรดังกล่าวเอาไว้ และจำเป็นต้องเพิกถอนคำร้องขอยื่นจดสิทธิบัตรทันที นายสมชายกล่าวว่า สนชเป็นห่วงว่าหากไม่ดำเนินการเพิกถอนการขอจดสิทธิบัตรออกไปก่อน เกรงว่าหากต่อไปเมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน สนช และมีผลบังคับใช้แล้ว จะทำให้ต่างชาติได้รับรองการจดสิทธิบัตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการที่หน่วยงานภาครัฐหรือมหาวิทยาลัยจะทำการวิจัยค้นคว้าทางการแพทย์ เนื่องจากต้องไปขออนุญาตจากเจ้าของสิทธิบัตรที่เป็นต่างชาติก่อน...
ลิงค์ที่เป็นมิตรเวลาปัจจุบัน:2021-02-25